คุยกับเต๋อ นวพล ซูเปอร์ฮีโร่ ด้าน ‘สายตาสั้น’

0

เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เคยเล่าให้ มติชนออนไลน์ ฟัง ว่าที่มาของ ‘ฮาว ทู ทิ้ง’ เกิดจากตอนที่เขาเก็บของในบ้าน ได้เจอความทรงจำในอดีต แล้วก็กลายเป็นไอเดียของภาพยนตร์ที่หลายๆคนชื่นชอบ

ส่วน ‘FAST & FEEL LOVE เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ’ คราวนี้  “เกิดจากความแก่” เขาบอก

จากนั้นชายวัย 38 ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ความที่โตขึ้น และแยกออกมามีบ้านของตัวเอง เรื่องที่ไม่เคยพบก็ดาหน้ามาแบบไม่หยุดหย่อน

“เรื่องไม่เคยอ่าน ก็ต้องอ่าน โฉนดเอกสารที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ท่อประปารั่ว แต่รั่วในกำแพง…ห๊ะ อะไรนะ” เขายกตัวอย่าง ก่อนบอก “ในเชิงเนื้อหา ผมรู้สึกว่ามันเป็นคอนฟลิคในชีวิตประจำวันที่ไม่ค่อยมีหนังเล่า เพราะมันคงดูธรรมดาเกินไป”

“แต่จริงๆแล้วเวลาเราเจอ มันเดือดร้อนประมาณนึงเหมือนกันนะ” คนเป็นผู้กำกับยืนยันจากประสบการณ์ตรง

สำหรับชื่อเรื่องที่พาให้นึกถึงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดชื่อดัง จนอดไม่ได้ ต้องถามไปว่านี่เป็นสาขาของ ‘Fast And Furious เร็ว..แรงทะลุนรก’ หรือเปล่า?

เจ้าตัวฟังแล้วขำ ก่อนบอก “ความเดือดหนังประมาณนั้นฮะ อย่างที่ได้คุยไป ว่าตอนที่เราเจอเหตุการณ์ มันเดือด แล้วผมรู้สึกว่าคงตลกดีถ้าเราเล่าเรื่องพวกนี้เป็นหนังแอ็คชั่น”

“แต่เราไม่มีรถคว่ำนะ มีแค่แบบธนาคารจะปิดแล้ว เดี๋ยวเอาเช็คไปเข้าไม่ทัน เหมือนต้องทำอะไรอย่างนั้น ในวินาทีนั้น มันต้องวิ่งให้ทัน”

“เราเป็นแอ็คชั่นเรียล” เล่าเรื่องของนักกีฬาที่จะลงแข่งแมตช์สำคัญ ซึ่งในฐานะแชมป์เขาจะต้องทำเวลาให้ดีกว่าสถิติใหม่ที่ผู้ท้าชิงคนหนึ่งทำไว้ แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาต้องทำเป็นอย่างแรกคือ กวาดบ้านกับล้างจานที่ทิ้งไว้มาหลายวัน ก่อนจะตระหนักว่า เฮ้ย, ปั๊มน้ำเสียนี่นา แถมสรรพากรยังส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง อ้าว, ลืมต่อใบขับขี่ ต้องไปสอบใหม่ แถมแฟนสาวก็กำลังจะทิ้งเขาเสียอีก ว่าแต่เาจะเร็วพอที่จะกอบกู้และคว้าทุกอย่างเอาไว้ได้ทันเวลาหรือไม่?

เรื่องนี้เต๋อเลือกให้ ณัฏฐ์ กิจจริต และ อุรัสยา เสปอร์บันด์ นำแสดง พร้อมกันนั้นก็เลือก สปอร์ต สแต็กกิ้ง หรือกีฬาซ้อนแก้ว ที่แข่งกันด้วยความเร็วมาใส่ไว้ในเรื่อง โดยประการหลัง เขาให้เหตุผลว่า “พอคิดจะทำหนังแอ็คชั่น ก็คิดว่าถ้ามันเป็นซูเปอร์ฮีโร่ก็ดีเหมือนกันนะ ซูเปอร์ฮีโร่ของผมไม่ใช่แบบปล่อยพลังพิเศษได้ แต่คือซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตประจำวัน ก็มองว่าควรจะเอาตัวเอกทำอะไรดี เพราะว่าตัวพลอตคือ ซูเปอร์ฮีโรเหล่านี้เมื่อมาเจอกับชีวิตประจำวัน บางทีก็เป็นคนโง่คนหนึ่ง แบทแมนชนะโจ๊กเกอร์ได้ แต่ถ้าแบทแมนต้องซ่อมท่อ อาจจะโง่เลย ผมอยากเล่าในมุมนี้ ก็ดูหลายๆอาชีพ หลายๆกีฬา มาจบที่สปอร์ต สแต็กกิ้ง เพราะมันไวมาก ไวเหมือนกล้องจับไม่ทัน เวลาดูจะรู้สึกว่าเขากรอสปีดหรืออืเปล่า เลยรู้สึกว่า มันมีความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ประมาณนึง”

 

ที่เลือกใช้คำ ‘ซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตประจำวัน’ ก็เป็นเพราะ “ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในเรื่องของตัวเอง ทุกคนมีความถนัดในบางอย่างที่เหนือกว่าคนอื่น เช่น บางคนอาจจะล้างจานเก่งสุดๆ บางคนเขียนหนังสือเก่งสุดๆ แต่ให้ไปขับรถ คือชนยับ หรือผมทำหนังได้ แต่เรื่องอื่นผมอาจจะห่วยมาก คือผมรู้สึกว่าคนเรามันมีความถนัดบางอย่างที่ล้ำกว่าคนอื่น เหมือนพี่แม่บ้าน เขาสามารถชงกาแฟที่อร่อย และมาเสิร์ฟให้เราในเวลาที่ถูกต้อง โดยที่เราไม่ได้รีเควสต์ คือพี่รู้ได้ไง ว่าผมต้องการสิ่งนี้ คือต้องเป็นพี่ๆเหล่านี้เท่านั้นถึงจะมีเซ้นส์พิเศษนี้”

ส่วนเรื่องการมองเห็นว่าทุกคนล้วนความสามารถพิเศษ เต๋อเล่าว่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อราว 10 ปีที่ผ่านมา

“ก็คือตั้งแต่เริ่มทำหนัง มันก็เจอเรื่องพวกนี้ตลอด หมายถึงสมมุติว่าเราทำหนังได้บางแบบ แบบที่เราถนัด มันก็จะถูกตัดสินเป็นนู่นนี่ นี่นั่น แต่ถึงที่สุดแล้ว หนังที่เราทำมันเดินทางไปเรื่อยๆ มันกลับไปเจอคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาจูนติดมากๆ อ๋อ…โอเค ได้ที่-ูทำมันก็ไม่ได้แบบแย่มาก มันเป็นสิ่งพิเศษที่เราทำ เฉพาะเราที่ทำได้ คือเราก็ทำได้ประมาณนี้ แล้วมันคงมีประโยชน์กับคนอื่นไม่มากก็น้อย”

“ผมเลยคิดว่ามันเป็นความสามารถพิเศษแบบนึงมั้ง”

 

“แล้วอย่างที่บอก เราโตมาแบบนี้ ก็จะไม่รับตัดสินคนอื่น ว่าเขาไม่มีอะไร ผมว่าทุกคนมีแน่ๆ แต่เราอาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะยังไม่เห็นเขาโชว์ออกมา แค่นั้นเอง”

อย่างนั้นแล้ว คุณเป็นฮีโรด้านไหน?

กับคำถามนี้ เขาหัวเราะเบิกบาน ก่อนตอบ “ผมคงแบบ…เรียกอะไรดี สายตาสั้นมั้ง”

“หมายถึงว่าเห็นอะไรเล็กๆน้อยๆที่มันเล็กมากๆ เห็นมุมจากเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะเราอาจจะเป็นคนสังเกตุมั้งฮะ ไม่งั้นหนังที่ทำก็คงไม่เป็นแบบนี้ทั้งหมด ส่วนใหญ่หนังที่ผมทำ เป็นเรื่องเล็กๆ แล้วเราหามุมเจอคือถ้ามองผ่านเลยๆ เร็วๆ ก็คงไม่มีอะไร คงเป็นของกลมๆ ก้อนหนึ่ง แต่ถ้าสังเกต มันจะมีแง่งหนึ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น”

เทียบงานชิ้นนี้ ที่กำลังจะเข้าฉายในโรงภาพยตร์ ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน กับชิ้นที่ผ่านๆมา คนทำบอกว่า “ที่ผ่านมาทุกเรื่องเลย มันจะมีเควสชั่นบางอย่างให้คนดูคิด แต่เรื่องนี้ผมพยายามจะบอกทุกคนว่าให้เข้าไปนั่ง แล้วปล่อยให้ตัวละครในโลกของหนังเรื่องนี้ทำงานกับเรา คือในหนังมันมีเยอะ แล้วผมอยากให้คนดูเลือกหยิบเอง ว่าจะเอาอะไรกลับไปนอกโรง เพราะมันมีพอยท์มากมาย ชีวิตวัย 30 ผมว่าเป็นจักรวาลที่กว้างใหญ่ แล้วมีหลายเรื่องมากๆ เลยไม่อยากไปสโคป  ว่าคุณจะได้อันนี้แน่เลยครับ ผมว่ามันคือการเรียนรู้ชีวิตที่มันมีเรื่องอื่นๆ”

“แล้วอยู่ที่คุณว่าคุณจะคิดกับมันยังไงมากกว่า”

ที่มา: มติชนออนไลน์