ความเชื่อ”ไสยศาสตร์”ของคนแถบอีสานใต้ในสมัยก่อน@บุรีรัมย์
ก่อนอื่นแอดก็ต้องบอกไว้ก่อนนะครับ #ความเชื่อส่วนบุคคล #ใช้วิจารณญาณในการเสพเนื้อหา

เรื่องของวิชาไสยศาสตร์นั้น มี 2 ประเภท คือ
สายดำ คือ เดรัจฉาวิชา เรียนแล้วนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ คือ นำมาทำร้ายคนอื่นๆด้วยวิชาที่ตนมี เช่น เสกหนังควายเข้าท้อง , ทำเสน่ห์ยาแฝด , ทำให้ผัวเมียเลิกกัน โดยอาศัยเดรัจฉาวิชาคนพวกนี้เมื่อตายไปแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง เพราะต้องตกนรกอเวจี และต้องใช้กรรมเป็นอย่างมาก
สายขาว คือ วิชาพุทธคุณ เรียนแล้วนำไปใช้ในการช่วยรักษาคนที่โดนกระทำด้วยคุณไสยศาสตร์ต่างๆ หลักศีล 5 เป็นหลัก วิชาพุทธคุณนี้มีเสื่อมมีดับหากเราทำผิดกฎข้อห้าม
และยังช่วยผู้ที่ตกทุกข์ ร้อนใจต่างๆให้พ้นจากทุกข์ โดยใช้วิชาพุทธคุณในการช่วยเหลือ โดยใช้คาถา ต่างๆที่พระพุทธเจ้าท่านได้นำแสดงไว้มาใช้ให้เกิดความขลังในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดเป็นเมตตามหาเสน่ห์, มหานิยม, มหาอำนาจ, โภคทรัพย์ โดยการนำมาสัก, นำมาเขียน, นำมาเป่า, นำมาเสก ลงสู่ร่างกายโดยต้อง ยึดถือกฎข้อห้ามต่างๆ โดยกฎต่างๆจะยึด
คุณสมบัติของผู้ที่จะเรียนไสยศาสตร์ได้สำเร็จ คือ
1. เป็นผู้ที่มีความสนใจอย่างจริงจัง
2. ต้องมีความอดทนอย่างยิ่งยวด
3. ต้องเป็นผู้ที่เคารพครูบาอาจารย์อย่างที่สุด
4. ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนได้เรียนและได้ใช้อย่างไม่แคลงใจ
ผู้ที่สนใจอยากศึกษาไสยศาสตร์ ท่านต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็น โดยต้องยึด หลักความจริงของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักและต้องเชื่อเรื่องของกรรมดี-กรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ เพราะมันมีความเกี่ยวเนื่องกับวิชาไสยศาสตร์ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผีสาง , เทวดา , เทพ , พรหมต่างๆ ล้วนมีอยู่จริงในหลักธรรมคำสอนขององค์พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น และท่านที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์ได้นั้นต้องเป็น ผู้ที่ผ่านการฝึกจิต-สมาธิมาเป็นอย่างดี จนสามารถนำพลังงานที่มีอยู่ในตัวและในโลกมาใช้ได้ในรูปแบบต่างๆ เช่นดังพระเกจิอาจารย์ท่านต่างๆที่สามารถนำพลังงานต่างๆมาประจุลงเครื่องรางและของขลังต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันอันตรายที่จะมีแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่าน และท่านทั้งหลายยังจะสามารถนำพลังงาน ที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิมาสำแดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่นดังที่มีอยู่ในตำนานเรื่องเล่าของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ท่านสามารถเสกหัวปลีเป็นกระต่ายและเสกคนเป็นจระเข้ได้อย่างน่าแปลกใจ ท่านที่ต้องการศึกษาไสยศาสตร์ท่านต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ในคาถาอาคมต่างๆและต้องเป็นผู้ใฝ่หาครูบาอาจารย์ที่จะมา ให้คำแนะนำอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับตนเองเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายแก่ตนเอง หรือที่เรียกว่า “ ของเข้าตัว ”
หลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย
ท่านผู้สนใจในวิชาไสยศาสตร์พึงจะต้องรู้จักหลักวิชาไสยศาสตร์ทั้ง 4 สาย มีดังนี้1. มฤคเวท เป็นการสวดเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
2. ยชุรเวท เป็นการสวดอ้อนวอนพระเจ้า
3. สามเวท ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม
4. อถรรพเวท เป็นเวทมนตร์คาถาเรียกผีสางเทวดาให้มาช่วยป้องกันอันตราย
และมีการแก้อาถรรพณ์ต่างๆในวิชาอาถรรพณ์
อถรรพเวทเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่งและเป็นคัมภีร์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก คัมภีร์อถรรพเวทแบ่งออกเป็น 8 สายย่อยอีกด้วย มีดังนี้
4.1 วิชาแก้โรคต่างๆ อาคมประเภทนี้ใช้เป่ารักษาโรคต่างๆให้หายได้
4.2 วิชามหาประสาน อาคมประเภทนี้ใช้เป่าบาดแผลให้ประสานเป็นเนื้อเดียวกัน และยังสามารถใช้ประสานกระดูกได้อีกด้วย ในปัจจุบันยังมีคนนำวิชานี้มาใช้อยู่
4.3 วิชาสะเดาะ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าสิ่งของให้หลุดออกจากกัน เช่น สะเดาะกุญแจ, โซ่ตรวน, สะเดาะลูกในครรภ์ของมารดา แม้แต่ก้างติดคอก็ยังใช้อาคมบทนี้
4.4 วิชาป้องกันตัว อาคมประเภทนี้ใช้เป่าปลุกเสกเครื่องรางของขลังต่างๆ เพื่อให้เกิด ความเป็นคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้าคงทนต่ออาวุธทั้งปวง และให้แคล้วคลาด จากอันตรายทั้งปวง
4.5 วิชาแสดงปาฏิหาริย์ อาคมประเภทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆได้ เช่น ล่องหน, กำบังกาย, หายตัวดำดิน เดินบนน้ำและอากาศ, ย่นระยะทาง, ลุยไฟ, แปลงกาย ผู้ที่มีวิชานี้สามารถทำได้หลายอย่าง
4.6 วิชาคุณไสยทำอันตรายผู้อื่น อาคมประเภทนี้ใช้ทำร้ายผู้อื่นให้เจ็บและตายได้ แล้วแต่ ความต้องการของผู้กระทำหรือผู้จ้างวาน เช่น เสกหนังควายเข้าท้อง, เสกมีดเข้าท้อง, เสกตะปูเข้าท้อง, เสกกระดูกผีเข้าท้อง เป็นต้น
4.7 วิชาแก้คุณไสยและแก้ภูตผีปีศาจ อาคมประเภทนี้ใช้เป่าและแก้การถูกกระทำด้วย ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสกตะปู, มีด และกระดูกผี วิชานี้สามารถใช้แก้และรักษาได้
4.8 วิชาการทำเสน่ห์ อาคมประเภทนี้ใช้เสกเป่าสิ่งของและของกิน รวมทั้งคนให้มาหลงไหล มารัก มาหลงตนเอง เรียกวิชานี้ว่า “ วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม ”วิชาเหล่านี้มีความสำคัญต่างกันและผู้ที่จะเรียนวิชาไสยศาสตร์นั้นก็สามารถเลือกที่จะเรียนได้ตามที่ตนสนใจ แต่ควรรู้จักให้ครบทั้ง 8 สายวิชา เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกัน
คงกระพันชาตรี
เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆ
ทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง
บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหน
ก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัว
ของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผล
ให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลม
แทงสวนทวารอย่างเดียว
วิชาคงกระพันชาตรีนั้นยังมีแยกออกไปอีก 9 วิชาวิชาอาพัด, เหล้า, หมาก, ใบพลู, ยาสูบ, พริกไทย, ว่านและรากไม้ต่างๆ (วิชานี้ใช้เสกของกินเพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี)
วิชาปูนคาดคอ วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาอาบน้ำว่าน วิชานี้ใช้อาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาอาบน้ำมันเดือด วิชานี้ใช้เสกอาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด
วิชาเสกฝุ่นทาตัว วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี ในบางทีเรียกว่า “ หนุมารคลุกฝุ่น ”
วิชาสักยันต์ วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาเขียนยันต์ วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ, เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี
วิชาชาตรี
คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่ วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบ ตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว เรียกว่า “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม
วิชาแคล้วคลาด วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ ไม่โดน และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลัง และลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่ เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย
วิชามหาอุด
วิชามหาอุดเป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุด “ เมื่อครั้งมีเหตุให้ โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย วิชามหาอุดมักถูกเขียนลงตระกรุด ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า เป็นต้น
วิชาแต่งคน วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้ คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี
สำหรับคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณกาลมาแล้ว ได้มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวทางไสยศาสตร์และโชคชะตาต่างๆ ที่ได้ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น
เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่า ข้อแนะนำ หรือข้อห้ามต่างๆ จากคนเฒ่าคนแก่ ว่าเวลาไปไหนมาไหน หรือเวลาทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง มีข้อห้ามอย่าง ซึ่งแต่ละข้อนั้นจะเป็นอย่างไรลองมาฟังกันดูนะคะ
1.ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่
โดยเชื่อกันว่า ผู้ที่ศึกษาวิชาทางไสยศาตร์นั้นจะมีการลองของ หรือการทดสอบวิชาที่ตนร่ำเรียนมา ซึ่งบางทีวิชาคุณไสย์เหล่านั้นอาจจะลอยมาทางอากาศซึ่งเรียกว่า ลมเพ-ลมพัด
2.ห้ามโพกหัว สวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะเชื่อว่าหัวจะล้าน
สำหรับความเชื่อนี้น่าจะเป็นความเชื่อที่อยากสอนให้ทุกคนนั้นได้ทำการแสดงเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างใจจริง
3.ห้ามบ้วนน้ำลายลงในโถส้วมเพราะเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม
สำหรับความเชื่อส่วนใหญ่นั้นเชื่อว่าโถส้วม ซึ่งเป็นภาชนะสำหรับถ่ายเทของเสีย หรือของเน่าเหม็น โดยมากสมัยก่อนจะมีการจัดแยกระหว่างกระโถนอุจจาระ
และกระโถนสำหรับบ้วนน้ำลาย หากผู้ใดได้ฝึกฝน และร่ำเรียนวิชาทางไสยศาสตร์จะค่อนข้างระมัดระวังมาก เพราะเชื่อว่าอาจจะทำให้อาคมเสื่อมได้
4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ
เนื่องจากผีบ้านผีเรือนนั้นมีหน้าที่ในการดูแล และปกปักรักษาสมาชิกบนเรือน ดังนั้นการนั่งบนขั้นบันไดจึงเป็นข้อห้ามเพราะจะทำให้ผีบ้านผีเรือนผ่านไม่ได้ เนื่องจากผีบ้านผีเรือนนั้นไม่อยากข้ามหัวคน
5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม
สำหรับตำนานเกี่ยวกับการนั่งบนหมอนนั้น ยังมีอีกว่าจะทำให้ก้นเป็นฝีเป็นหนอง และเช่นกันอาคมจะเสื่อม เนื่องจากหมอนหนุนหัวนั้นใช้สำหรับวางศรีษะเพื่อทำการนอน และใช้ในการกราบพระ
6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ
สำหรับตำนานนี้ โดยมารยาทของไทยแล้ว มักจะไม่ให้คุยกันขณะกินข้าวซึ่งถือว่าเป็นการแสดงมารยาทในการเข้าสังคม แต่สำหรับความฝันแล้วซึ่งเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก บางครั้งจึงไม่ควรเล่าขณะกำลังทานข้าว
7.ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ
ในสังคมไทย เมื่อเราได้ศึกษาหาความรู้จากสิ่งใด เราจะให้ความเคารพ และความสำคัญกับสิ่งนั้นๆ เชื่อว่าหนังสือก็เปรียบเสมือนตัวแทนพระครู ผู้ประสาทวิชา
8.ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท้อง
สำหรับสมัยก่อนนั้นมักปลูกบ้านเรือนด้วยไม้ การนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านจึงไม่สมควร สำหรับอาการเรื่องผีไม่กลัว และปวดท้องนั้น เชื่อว่ามาจากเจ้าบ้านเจ้าเรือน
9.ห้ามหญิงมีครรภ์ห้ามไปงานศพ เพราะจะมีวิญญาณติดตามมา
หญิงมีครรภ์นั้นควรจะมีจิตใจที่ผ่องใส และอารมณ์ดีอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาการของทารกที่ดี โดยการไปงานศพถือว่าทำให้เกิดจิตใจเศร้าหมอง แต่ความเชื่อส่วนใหญ่นั้นคือ ผีจะชอบตามมาขอส่วนบุญจากคนทีครรภ์ เชื่อว่าบุญเยอะ เพราะอุ้มบุญอยู่
10.ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก
ถือเป็นการไม่ควรสำหรับการดมดอกไม้ก่อน หรือหลังถวายพระ เพราะเป็นเหมือนการถวายของใช้แล้ว
11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู
สำหรับตำนานนี้ คงจะเป็นการไม่ควร และเสียมารยาทหากเรากำลังเล่าเรื่องให้ใครฟังแล้วผู้ฟังไม่สนใจไม่พอ ยังเกิดอาการหลับ โดยส่วนใหญ่ผู้เล่า ครูผู้สอน หรือผู้เทศน์คงเกิดอาการประหม่า ให้ขอตัวออกจากสถานที่หากทนไม่ไหวจริงๆ
12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็นเปรต(นอกจากให้ยืม)
ทาน คือการให้ที่ประเสริฐที่สุด หากวันใดเราอยากได้ของที่เราให้ผู้อื่นคืน จิตใจของเราคงเศร้าหมอง โกรธเคือง เกลียดชังน่าดู ไม่ต่างจากเปรต
13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด
เชื่อว่าการทำความสะอาดให้ทำตอนกลางวัน เพราะเป็นเวลาที่เหมาะสม สามารถเก็บรายละเอียดได้แยบยล ดังนั้นเรื่องที่ทำในที่สว่างก็ควรทำเวลานั้นๆ ไม่ควรผลัดวันประกันพรุ่งหรือกว่าจะทำก็ตกกลางคืนเสียแล้ว เป็นต้น
14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น
ข้อนี้นั้นก็ไม่ต่างจากข้อก่อนหน้า คือในสมัยก่อนการให้แสงสว่างเวลากลางคืนยังใช้ตะเกียงเจ้าพายุ วิสัยทัศน์ในการมองเห็นจะลดลงมาก อาจจะทำให้เกิดบาดเจ็บได้
15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วย ไม้ค้ำบ้าน ราวผ้าและห้ามลอดใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม
ตำนานข้อนี้ สำหรับผู้มีวิชาอาคม เชื่อว่าตนเองมีสิ่งศักสิทธิ์คุ้มครองซึ่งเป็นของสูง และอีกตัวอย่างคือ การลอดราวต่างๆ นั้นอาจเป็นกับดักของศัตรู กล่าวคือศัตรูอาจนำของต่ำต่างๆ เช่นเลือดเสีย มาทาตามสิ่งต่างๆ ที่ไม่ควรลอดเป็นต้น
16.อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม
เช่นกันสำหรับข้อนี้คือของดีต้องรักษาให้ดี ไม่ใช่ทิ้งขว้างแบบของที่ตกต่ำ
17.ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม
ทั้งการด่าบุพการีของตนเองก็เช่นกัน จะทำให้ของในตัวทุกอย่างเสื่อมลงได้ เพราะเชื่อว่าบิดามารดา เปรียบเสมือนพระอรหันต์ของลูกๆ
18.คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว่าหนังจะไม่เหนียว
สำหรับเรื่องการกินของคนสักนั้นมีข้อห้ามแตกต่างกันไปตามภูมิภาค และสมัย เนื่องจากศัตรู หรือผู้ศึกษามนต์ดำมักมีการปล่อยของหรือทดลองกับพืชผักที่มีผลบนพื้นดิน ซึ่งอาจทำให้อาคมเสื่อมลงได้
19.หากไปต่างสถานที่ ห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อกันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดี หากใครทักจะเข้าตัวทันที
บางทีไม่ใช่แค่คุณไสยมนต์ดำ แต่หากเป็นผีที่มาขอส่วนบุญ หากทำการขานรับ พวกเค้าเหล่านั้นจะถือว่าคุณได้ยิน และติดตามคุณไป
20.ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง(อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวของคนตาย)
ตำนานนี้ยังเป็นที่แพร่หลาย บางคนเชื่อว่าพอนอนแล้วจะรู้สึกว่าหายใจไม่ออกบ้าง ฝันร้ายบ้าง หรือเกิดอาการไม่สบายเนื้อสบายตัว เป็นไข้ หรือเจ็บป่วยได้
21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล
ความเชื่อนี้หากหลีกเลี่ยงได้ก็ควร เพราะวันเหล่านี้ผู้ประกอบการพิธีต่างๆ มักถือไว้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือเป็นวันที่ตนต้องทำภารกิจอื่นๆ หมายความว่าหากสะดวกเรา ต้องสะดวกเขาด้วย
22.ห้ามเคาะจานข้าวเวลารับประทานอาหาร โบราณท่านถือว่า ห้ามเคาะจานข้าว เพราะจะเป็นการเรียนวิญญาณที่พเนจร เมื่อได้ยินเสียงเราเคาะจาน
ก็จะพากันมาแย่งเรากินข้าว กินอาหารคาวหวาน ท่านต้องเคยเห็นเวลาเราไหว้ศพหรือไหว้วันสำคัญ เราจะจัดชุดสำหรับพวกผีไม่มีญาติ และทำพิธิเรียกมากิน
โดยใช้การเคาะถ้วยชาม ดังนั้นผู้ใหญ่จึงถือมาก ห้ามลูกหลานเคาะจานชามเวลากินข้าว
อ้างอิงจาก ชุมชนคนสุรินทร์